วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับ SME พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย
การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลมาพร้อมกับหน้าที่สำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งกระบวนการและ การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลอาจดูซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียดทางกฎหมาย โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) การทำความเข้าใจหลักการและขั้นตอนที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้ปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการเงินและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของการคำนวณภาษี เพื่อให้เรื่องภาษีเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คืออะไร? และใครต้องจ่ายบ้าง
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีอากรประเภทหนึ่ง ที่จัดเก็บจากกำไรสุทธิในการประกอบกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายไทย แต่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีประเภทนี้ ได้แก่ บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล กิจการร่วมค้า และมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการมีรายได้
อัตราภาษีนิติบุคคลมีอะไรบ้าง
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงอัตราเดียว แต่ถูกแบ่งตามประเภทและขนาดของกิจการ เพื่อส่งเสริมและให้ความเป็นธรรมกับธุรกิจในแต่ละระดับ โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กิจการทั่วไป และกิจการที่เข้าเงื่อนไขเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ซึ่งมีเงื่อนไขและ อัตราภาษี SME ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
อัตราภาษี SME
สำหรับธุรกิจที่เข้าเกณฑ์เป็น SME ตามที่กรมสรรพากรกำหนด คือ ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และ มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอัตราก้าวหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของภาษี SME โดยมีรายละเอียดดังนี้
- กำไรสุทธิ 0 - 300,000 บาท ได้รับการ ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ 300,001 - 3,000,000 บาท เสียภาษีในอัตรา 15%
- กำไรสุทธิ 3,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 20%
อัตราภาษีธุรกิจมหาชน
กิจการที่ไม่เข้าเงื่อนไขการเป็น SME ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะถูกจัดเป็นกิจการทั่วไป ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิในอัตราคงที่ที่ 20% โดยไม่มีขั้นบันไดหรือการยกเว้นภาษีสำหรับกำไรสุทธิส่วนแรก นั่นหมายความว่า ไม่ว่ากิจการจะมีกำไรสุทธิเท่าใดก็ตาม จะต้องนำกำไรสุทธิทั้งหมดมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยอัตรา 20% ทันที
สูตรและขั้นตอนการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ การหากำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี ซึ่งไม่ได้เท่ากับกำไรสุทธิทางบัญชีเสมอไป แต่ต้องผ่านการปรับปรุงตามเงื่อนไขของประมวลรัษฎากรเสียก่อน กระบวนการนี้เริ่มต้นจากกำไร (หรือขาดทุน) ทางบัญชี แล้วนำมาบวกกลับด้วยรายจ่ายต้องห้าม และหักออกด้วยรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี เพื่อให้ได้กำไรสุทธิทางภาษีที่ถูกต้อง
- สูตรการคำนวณ
- กำไรสุทธิทางภาษี = (กำไรสุทธิทางบัญชี + รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี + รายจ่ายที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น) - (รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี + รายจ่ายที่ปรับปรุงลดลง)
- จากนั้นจึงนำกำไรสุทธิทางภาษีที่คำนวณได้ ไปคูณกับอัตราภาษีตามประเภทของกิจการ
- ขั้นการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล
- คำนวณกำไรสุทธิทางบัญชี จากงบกำไรขาดทุน
- ปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชี ตามหลักเกณฑ์ในประมวลรัษฎากร เพื่อให้ได้กำไรสุทธิทางภาษี
- นำกำไรสุทธิทางภาษีที่ได้มาเข้าสู่กระบวนการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคูณด้วยอัตราภาษี (แบบขั้นบันไดสำหรับ SME หรือ 20% สำหรับกิจการทั่วไป)
- หักด้วยภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) และภาษีที่ชำระล่วงหน้าในครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) เพื่อหายอดภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเติมหรือขอคืน
ตัวอย่างการคำนวณภาษีสำหรับ SME
ตัวอย่างข้อมูล
- รายได้รวม 10,000,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายรวม 8,500,000 บาท
- กำไรสุทธิทางบัญชี 1,500,000 บาท
ปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชี
- กำไรสุทธิทางบัญชี 1,500,000 บาท
- บวกกลับรายจ่ายต้องห้าม 70,000 บาท
- กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี 1,500,000 + 70,000 = 1,570,000 บาท
ตัวอย่างการคำนวณภาษีสำหรับ SME
- กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท (คือ 1,570,000 - 300,000 = 1,270,000 บาท) นำไปคูณอัตรา 15%:
- 1,270,000 x 15% = 190,500 บาท
- รวมภาษีที่ต้องชำระทั้งปี 190,500 บาท
ต้องยื่นภาษีนิติบุคคลเมื่อไหร่?
การยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ได้ทำเพียงครั้งเดียวตอนสิ้นปี แต่กฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการทยอยชำระภาษีและช่วยให้ภาครัฐมีกระแสเงินสดสำหรับบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งออกเป็นภาษีครึ่งปีและภาษีสิ้นปี
ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51)
ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) เป็นการยื่นภาษีสำหรับ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี โดยนิติบุคคลมีหน้าที่ต้อง ประมาณการกำไรสุทธิ ที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี แล้วจึงคำนวณและชำระภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรนั้น ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51 พร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ภายใน 2 เดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งการประมาณการกำไรต้องสมเหตุสมผลเพื่อหลีกเลี่ยงเบี้ยปรับในภายหลัง
ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด. 50)
ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด. 50) เป็นการสรุปผลประกอบการจริงตลอดทั้งรอบระยะเวลาบัญชี (12 เดือน) โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องชำระจริงสำหรับปีนั้น ๆ จากนั้นนำภาษีที่คำนวณได้มาหักออกจากภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่จ่ายไปแล้ว ผลลัพธ์คือยอดที่ต้องชำระเพิ่มหรือยอดที่มีสิทธิ์ขอคืน โดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
สรุป
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นกระบวนการที่ต้องการความละเอียดรอบคอบและความเข้าใจในหลักเกณฑ์ทางภาษี ตั้งแต่การจำแนกประเภทธุรกิจเพื่อใช้อัตราภาษีที่ถูกต้อง การปรับปรุงกำไรทางบัญชีให้เป็นกำไรทางภาษี ไปจนถึงการยื่นแบบและชำระภาษีให้ตรงตามกำหนดเวลา การวางแผนภาษีที่ดีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น
สำหรับ SME พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่ายปัจจุบันโปรแกรม ERP บัญชี หรือระบบ ERP ที่เข้ามาช่วยลดความซับซ้อน ทำให้การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเรื่องง่ายและมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากการคำนวณของเรา สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสนใจระบบ ERP โปรแกรม ERP โรงงาน หรือต้องการวางระบบหลังบ้านให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีม Dynamics Motion เราพร้อมออกแบบระบบ Motion ERP ระบบ ERP Software ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการจัดการธุรกิจของคุณอย่างลงตัว อีกทั้งยังรองรับบัญชีภาษีไทย และการออกรายงานงบการเงินอีกด้วย หากสนใจสามารถติดต่อได้ผ่านอีเมล sales@dynamics-motion.com หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทร 02-028-7495